ในยุคสมัยที่อารยธรรมกรีกยังรุ่งเรือง เฮอร์คิวลิส (เคลแลน ลัตซ์) เจ้าชายหนุ่มรูปงามใช้ชีวิตโดยไม่รู้ว่าบิดาที่แท้จริงของเขาคือใคร เขามีความต้องการในชีวิตเพียงอย่างเดียว นั่นคือการครองรักกับ ฮีบี เจ้าหญิงแห่งเกาะครีต ที่กำลังถูกจับให้แต่งงานกับพี่ชายของเขาเพื่อขยายอำนาจปกครอง แต่หลังจากที่ เฮอร์คิวลิส ได้รับรู้ถึงต้นกำเนิดที่แท้จริงของตัวเอง และเป้าหมายที่สำคัญยิ่งกว่าความรัก เขาต้องเลือกที่จะเดินตามพรมลิขิต ซึ่งก็ให้เขากลายเป็นวีรบุรุษที่มีชื่อเสียงที่สุดในตำนานเทพเจ้ากรีก
เกร็ดภาพยนตร์
• หลังจากเฟ้นหานานกว่า 3 เดือน ในที่สุดนักแสดงที่เข้ามารับบทเป็น เฮอร์คิวลิส ก็คือ เคลแลน ลัตซ์ นักแสดงสุดหล่อหุ่นล่ำผู้เคยรับบทเป็น "เอมเม็ต คัลเลน" ใน Twilight ทุกภาค ซึ่งเขาก็พร้อมแล้วกับการฉายเดี่ยวเป็นแอ็คชั่นสตาร์คลื่นลูกใหม่แห่งวงการ โดยหนังยังร่วมนำแสดงโดย เลียม แม็คอินไทร์ ผู้เคยรับบท สปาร์ตาคัส จาก Spartacus: Blood and Sand และ สก็อตต์ แอ็ดกิ้นส์ นักแสดงนักบู๊จาก The Expendables 2 และ The Bourne Ultimatum
• ผู้กำกับ เรนนี่ ฮาร์ลิน ที่เคยทำหนังแอ็คชั่นสุดมันส์อย่าง Die Hard 2 และ Cliffhanger ก็ได้พูดถึงแนวทางที่เขาต้องการทำในเรื่องนี้ว่า "ผมอยากทำให้ เฮอร์คิวลิส เป็นเหมือนต้นกำเนิดของซุปเปอร์ฮีโร่ทั้งมวล ผมคิดว่าผู้คนคงรู้จักตัวตนของ เฮอร์คิวลิส ดีอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเราจึงอยากกลับไปเล่าว่าก่อนที่ เฮอร์คิวลิส จะเป็น เฮอร์คิวลิส เขาเป็นใครมาก่อน นี่คือชายหนุ่มผู้ที่ไม่รู้ถึงต้นกำเนิดของตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบว่าตัวเองคือ "เดมิ-ก็อด" หรือครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นเขาคือบุตรชายของเทพผู้อยู่เหนือเทพอย่าง ซุส นั่นคือความกดดันที่เขาต้องแบกรับ"
• เคลแลน ลัตซ์ ก็พูดถึงเรื่องราวในหนังที่ทำให้ เฮอร์คิวลิส เวอร์ชั่นนี้มีความพิเศษสุด "มันคือเรื่องราวการออกเดินทางของ เฮอร์คิวลิส เพื่อเสาะหาความต้องการของตัวเอง และก้าวออกมารับผิดชอบชีวิตของตัวเองและผู้คนมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือ มันคือมหากาพย์การผจญภัยของผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องการกลับไปหาผู้หญิงที่เขารัก และต้องเจอกับอุปสรรคมากมายระหว่างทาง ผมคิดว่านี่เป็นภาพยนตร์ที่สเกลใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยร่วมงานมาเลย"
• The Legend Of Hercules ทุ่มทุนสร้างกว่า 80 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้หนังสามารถเนรมิตฉากมากมายที่จะทำใหคนดูต้องทึ่ง ผู้กำกับ เรนนี่ ฮาร์ลิน ได้พูดถึงซีเควนซ์สำคัญว่า "มันมีฉากสงครามที่กินเวลาทั้งหมด 6 นาที โดยที่พวกเราถ่ายทำกันภายในเทคเดียว โดยเริ่มตั้งแต่ฉากต่อสู้บนท้องทะเล ไปจนถึงการต่อสู้บนพื้นดิน และการต่อสู้แบบประชิดตัว ทั้งดาบ หอก ธนู และมือเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างถูกบันทึกเอาไว้ภายในเทคเดียวแบบไม่มีการตัดต่อ นี่คือสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนตลอดการทำงาน และก็เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจมากที่สุดตั้งแต่กำกับหนังมา"